คืนเปิดใจ
หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า“
ชีวิตตอนเรียนในมหาวิทยาลัยคงจะสมบูรณ์แบบไม่ได้
หากไม่ได้ไปค่ายอาสาฯสักครั้งหนึ่ง” และหนึ่งในหลายคนนั้นก็มีผมรวมอยู่ด้วย
ผมได้ยินคำกล่าวที่ว่านี้ตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง
จากรุ่นพี่หลายต่อหลายคนที่มักจะมายืนพล่ามถึงเรื่องราวชีวิตในมหาวิทยาลัยไปต่างๆ
นาๆ
แล้วก็มาสั่งให้พวกเรานั่งกับพื้นเป็นแถวคอยฟังที่คุณพี่เค้ากำลังตั้งใจสาธยายออกมาอย่างกับว่าถ้าหากวันนี้
ตอนนี้คุณพี่เค้าไม่ได้พูดพรุ่งนี้คงจะต้องเป็นใบ้แน่นอน แล้วพวกเราในฐานะน้องปีหนึ่งที่อ่อนต่อโลกก็ต้องนั่งทำตาโตลุกวาวมีแววประกายสงสัยนั่งฟังอย่างตั้งใจและเพื่อไม่ให้คุณพี่เค้าต้องเป็นใบ้ด้วย
อันที่จริง
ผมก็เคยได้ยินเรื่องค่ายอาสง อาสาฯ อะไรแบบนี้มาบ้างแล้วจากทีวีบ้าง
ในหนังบ้างที่นักศึกษาไปออกค่ายอาสาฯในหมู่บ้านแถบชนบทภาคอีสานแล้วก็ต้องเจอกับผีปอบ
แล้วก็ต้องวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง
ผมดูแล้วบ้างครั้งยังนึกสงสัยนะว่าเรื่องแบบนี้มันจะมีจริงเหรอ
แต่ก็ช่างมันเถอะอย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นตัวจุดประกายอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอยากจะไปออกค่ายอาสาฯกับเค้าสักครั้งหนึ่งเหมือน
กัน
ผมมีเพื่อนหญิงอยู่คนหนึ่ง
เธอคนนี้เป็นคนแปลกๆ นะผมคิดว่า
เธอชอบคิดและชอบทำอะไรไม่ค่อยเหมือนคนปกติทั่วไปนักและเธอก็ชอบไปในสถานที่ที่คนอื่นไม่ชอบไปเหมือนกัน
เช่น หลายคนอยากไปเที่ยวเชียงใหม่แต่เธอกลับอยากจะไปเที่ยวเรือนจำ
หลายคนอยากไปเดินเที่ยวในห้างตากแอร์เย็นฉ่ำแต่เธอกลับอยากจะไปเดินเที่ยวตากแดดตากลมที่ตลาดนัด
เป็นต้น
และเธอมักจะมีวีรกรรมชั้นยอดให้ผู้คนได้กล่าวขานถึงเธอตลอดไม่ว่าเธอจะไปในสถานที่ใด
ถึงแม้เธอจะมีความคิดและความเป็นตัวของตัวเองสูง
แต่เธอก็มีความคิดเหมือนกันกับผมอยู่อย่างหนึ่ง คือเธออยากจะไปค่ายอาสาฯเหมือนกับผม
“กลางเดือนตุลาคมนี้หลังสอบเสร็จจะมีค่ายอาสาฯ”
ผมนำข่าวนี้มาบอกกับเธอ หลังจากที่ผมเพิ่งจะคุยกับเด็กที่ทำค่ายอาสาฯ ซึ่งผมรู้จัก
ความจริงผมเคยไปค่ายอาสาฯมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อตอนปีสอง
ตอนนั้นผมไปตัวคนเดียวไม่มีคนรู้จักเลยสักคน
“ผมคิดว่าหากวันนั้นผมตัดสินใจไม่ก้าวขึ้นรถไฟ
ผมคงเสียดายไปตลอดชีวิต” นี่คือคำกล่าวของผมในคืนรอบกองไฟในค่ายอาสาฯ
คืนที่ผมจดจำไม่เคยลืม ในคืนสุดท้ายก่อนจะปิดค่ายฯ
สมาชิกทุกคนในค่ายจะต้องมาเข้าร่วมพิธีรอบกองไฟ
ในคืนที่ทุกอย่างมืดสนิทมีเพียงแสงจากกองไฟตรงกลาง คืนนี้เราเรียกว่า“คืนเปิดใจ”
เป็นคืนที่ทุกคนในค่ายจะได้กล่าวความรู้สึกต่างๆ ออกมา
เราทุกคนนั่งรายล้อมกองไฟสีส้มนวล
คนที่ได้รับเกียรติในการเปิดใจคนแรกคือผู้รับผิดชอบโครงการ
ในมือทุกคนจะมีเทียนกันคนละเล่ม เทียนเล่มแรกที่ถูกจุดคือคนแรกที่เปิดใจ
เมื่อกล่าวจบ เทียนของคนข้างๆก็จะถูกจุดโดยคนแรกเปรียบเสมือนการส่งต่อแสงสว่างและเจตนารมณ์
หลังจากนั้นก็จะโยนเทียนเข้ากองไฟเพื่อเป็นเชิงเพลิงให้ไฟแห่งจิตอาสาจะยังคงโชติช่วงอยู่ต่อไป
ในคืนที่น้ำตาของลูกผู้ชายต้องไหลด้วยความซาบซึ้งในมิตรภาพ
ในคืนที่หญิงสาวสวมกอดกันด้วยความอาวรณ์ ในคืนที่เราสามารถเรียกคนที่อยู่ตรงหน้าเราว่าเพื่อนได้จากความรู้สึก
ในคืนที่ดอกไม้แห่งมิตรภาพกำลังเบ่งบาน
ในคืนที่ธรรมดาแต่แสนจะพิเศษนี้เองมันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่หลายคนกำลังตามหาอยู่และไม่แน่อาจจะพบเจอมันที่นั่น
คืนเปิดใจ