คำว่า “ประวัติศาสตร์” หรือ “History” เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ
มาจากภาษากรีกเดิมว่า “Historeo” คำว่า “Histor” หมายถึง พยาน
ผู้ตัดสินหรือใครก็ได้ที่รู้เห็น ส่วนคำว่า “Historeo” “แปลว่า
การสอบสวน การค้นคว้า ไต่ถามหาความจริง
ฉะนั้น
การศึกษาประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องของการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ที่ผ่านมาในอดีต ที่มีความสำคัญในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งหรือสมัยใดสมัยหนึ่งซึ่งจะต้องอธิบายเหตุการณ์
ต่าง ๆที่เกิดขึ้นนั้นได้อย่างมีเหตุผลและถูกต้องตามความเป็นจริง โดยผ่านกระบวนการ
ไต่สวน ค้นคว้า พิจารณา วิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน และไม่มีอคติ
นักประวัติศาสตร์ที่จดบันทึกเรื่องราวอย่างใช้เหตุผล และวิจารณญาณคนแรกคือ เฮโรโดตัส (HERODOTUS)นักปราชญ์ชาวกรีก
ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นเป็นบิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์
ในประเทศไทย เริ่มใช้คำว่า “ประวัติศาสตร์” ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ใน
พ.ศ. 2459 เนื่องจาก คำว่า “ตำนาน” (Legend) ที่ใช้กันมาแต่เดิมนั้นมักจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของท้องถิ่นหรือบุคคลในท้องถิ่นซึ่งมีลักษณะที่แต่งเติมเกินกว่าความเป็นจริง
และคำว่า “พงศาวดาร” (Choronicle) ซึ่งจะจำกัดอยู่เฉพาะเรื่อง ราวของสถาบันพระมหา
กษัตริย์มิได้ครอบคลุมการ ศึกษาเรื่องราวในอดีตอย่างแท้จริง
ความสำคัญของเวลา
เวลามีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตและกิจกรรมของมนุษย์อยู่ตลอด
ในสมัยโบราณมนุษย์สามารถบอกเวลาได้จากการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
เช่น แสงสว่างที่มาพร้อมกับดวงอาทิตย์และตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ลักษณะของดวงจันทร์ที่ปรากฏในแต่ละคืน
เวลาเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถจัดระบบชีวิตส่วนตัวและสังคมได้
เวลาเป็นสิ่งเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน
เนื่องจากยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมีพัฒนาการมาอย่างยาวนานหลายพันปี
การศึกษาความต่อเนื่องระหว่างยุคสมัยในประวัติศาสตร์ช่วงต่าง ๆ
จึงต้องอาศัยเวลาที่ปรากฏอยู่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทต่าง ๆ
ในการลำดับเหตุการณ์ เพื่อสามารถเชื่อมโยงถึงปัจจุบัน
ดังนั้นเวลาจึงมีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างมาก
2. ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
3. วิธีการทางประวัติศาสตร์
4. โครงงานทางประวัติศาสตร์
การนับเวลาและการเทียบศักราช
ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น