วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คืนเปิดใจ : เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่เขียนขึ้นเมื่อครั้งไปค่ายอาสาฯ ซึ่งเราจะได้สัมผัสกับมิตรภาพและความจริงของเพื่อนมนุษย์เท่าที่จะพึงมีให้กันได้ ในคืนเปิดใจ

คืนเปิดใจ


            หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า“ ชีวิตตอนเรียนในมหาวิทยาลัยคงจะสมบูรณ์แบบไม่ได้ หากไม่ได้ไปค่ายอาสาฯสักครั้งหนึ่ง” และหนึ่งในหลายคนนั้นก็มีผมรวมอยู่ด้วย
            ผมได้ยินคำกล่าวที่ว่านี้ตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง จากรุ่นพี่หลายต่อหลายคนที่มักจะมายืนพล่ามถึงเรื่องราวชีวิตในมหาวิทยาลัยไปต่างๆ นาๆ แล้วก็มาสั่งให้พวกเรานั่งกับพื้นเป็นแถวคอยฟังที่คุณพี่เค้ากำลังตั้งใจสาธยายออกมาอย่างกับว่าถ้าหากวันนี้ ตอนนี้คุณพี่เค้าไม่ได้พูดพรุ่งนี้คงจะต้องเป็นใบ้แน่นอน แล้วพวกเราในฐานะน้องปีหนึ่งที่อ่อนต่อโลกก็ต้องนั่งทำตาโตลุกวาวมีแววประกายสงสัยนั่งฟังอย่างตั้งใจและเพื่อไม่ให้คุณพี่เค้าต้องเป็นใบ้ด้วย
                อันที่จริง ผมก็เคยได้ยินเรื่องค่ายอาสง อาสาฯ อะไรแบบนี้มาบ้างแล้วจากทีวีบ้าง ในหนังบ้างที่นักศึกษาไปออกค่ายอาสาฯในหมู่บ้านแถบชนบทภาคอีสานแล้วก็ต้องเจอกับผีปอบ แล้วก็ต้องวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง ผมดูแล้วบ้างครั้งยังนึกสงสัยนะว่าเรื่องแบบนี้มันจะมีจริงเหรอ แต่ก็ช่างมันเถอะอย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นตัวจุดประกายอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอยากจะไปออกค่ายอาสาฯกับเค้าสักครั้งหนึ่งเหมือน กัน
            ผมมีเพื่อนหญิงอยู่คนหนึ่ง เธอคนนี้เป็นคนแปลกๆ นะผมคิดว่า เธอชอบคิดและชอบทำอะไรไม่ค่อยเหมือนคนปกติทั่วไปนักและเธอก็ชอบไปในสถานที่ที่คนอื่นไม่ชอบไปเหมือนกัน เช่น หลายคนอยากไปเที่ยวเชียงใหม่แต่เธอกลับอยากจะไปเที่ยวเรือนจำ หลายคนอยากไปเดินเที่ยวในห้างตากแอร์เย็นฉ่ำแต่เธอกลับอยากจะไปเดินเที่ยวตากแดดตากลมที่ตลาดนัด เป็นต้น และเธอมักจะมีวีรกรรมชั้นยอดให้ผู้คนได้กล่าวขานถึงเธอตลอดไม่ว่าเธอจะไปในสถานที่ใด ถึงแม้เธอจะมีความคิดและความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่เธอก็มีความคิดเหมือนกันกับผมอยู่อย่างหนึ่ง คือเธออยากจะไปค่ายอาสาฯเหมือนกับผม
            “กลางเดือนตุลาคมนี้หลังสอบเสร็จจะมีค่ายอาสาฯ” ผมนำข่าวนี้มาบอกกับเธอ หลังจากที่ผมเพิ่งจะคุยกับเด็กที่ทำค่ายอาสาฯ ซึ่งผมรู้จัก ความจริงผมเคยไปค่ายอาสาฯมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อตอนปีสอง ตอนนั้นผมไปตัวคนเดียวไม่มีคนรู้จักเลยสักคน
            “ผมคิดว่าหากวันนั้นผมตัดสินใจไม่ก้าวขึ้นรถไฟ ผมคงเสียดายไปตลอดชีวิต” นี่คือคำกล่าวของผมในคืนรอบกองไฟในค่ายอาสาฯ คืนที่ผมจดจำไม่เคยลืม ในคืนสุดท้ายก่อนจะปิดค่ายฯ สมาชิกทุกคนในค่ายจะต้องมาเข้าร่วมพิธีรอบกองไฟ ในคืนที่ทุกอย่างมืดสนิทมีเพียงแสงจากกองไฟตรงกลาง คืนนี้เราเรียกว่า“คืนเปิดใจ” เป็นคืนที่ทุกคนในค่ายจะได้กล่าวความรู้สึกต่างๆ ออกมา        
            เราทุกคนนั่งรายล้อมกองไฟสีส้มนวล คนที่ได้รับเกียรติในการเปิดใจคนแรกคือผู้รับผิดชอบโครงการ ในมือทุกคนจะมีเทียนกันคนละเล่ม เทียนเล่มแรกที่ถูกจุดคือคนแรกที่เปิดใจ เมื่อกล่าวจบ เทียนของคนข้างๆก็จะถูกจุดโดยคนแรกเปรียบเสมือนการส่งต่อแสงสว่างและเจตนารมณ์ หลังจากนั้นก็จะโยนเทียนเข้ากองไฟเพื่อเป็นเชิงเพลิงให้ไฟแห่งจิตอาสาจะยังคงโชติช่วงอยู่ต่อไป
            ในคืนที่น้ำตาของลูกผู้ชายต้องไหลด้วยความซาบซึ้งในมิตรภาพ ในคืนที่หญิงสาวสวมกอดกันด้วยความอาวรณ์ ในคืนที่เราสามารถเรียกคนที่อยู่ตรงหน้าเราว่าเพื่อนได้จากความรู้สึก ในคืนที่ดอกไม้แห่งมิตรภาพกำลังเบ่งบาน ในคืนที่ธรรมดาแต่แสนจะพิเศษนี้เองมันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่หลายคนกำลังตามหาอยู่และไม่แน่อาจจะพบเจอมันที่นั่น คืนเปิดใจ